สิ้นปีควรลดหย่อนภาษีด้วยอะไร ???
ถ้าให้เรียงลำดับตามความสำคัญ ขอเรียงดังนี้ครับ
1. ประกันโรคร้ายแรง (จ่ายเงินก้อน เจอจ่ายจบ/หลายจบ)
2. ประกันสุขภาพเหมาจ่าย (คุ้มครองค่ารักษา)
3. ประกันชีวิต
ที่ให้สามอย่างนี้ เป็นอย่างแรกเพราะมันคือการถ่ายโอนความเสี่ยงอย่างแท้จริง ถ้างบจำกัดจริง ๆ อันที่ต้องมีอย่างแรกสุดคือประกันโรคร้ายแรงเพราะค่ารักษายังพอเบิกสิทธิ์ของรัฐได้ แต่โรคร้ายแรงเป็นแล้วทำงานไม่ได้ มีค่าใช้จ่ายแฝงอีกมาก ยังไม่นับค่ารักษาส่วนต่างที่เบิกไม่ได้ ส่วนประกันสุขภาพนั้นก็ถือว่าจำเป็นมากเช่นกันเพราะจะทำให้เราได้เข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุด รวดเร็วที่สุด ในราคาที่เราคาดการณ์ได้ (เข้าถึงได้) ซึ่งต้องเอาสุขภาพที่ดีซื้อ อยู่เวรทำงานหักโหม หาเงินได้มากแค่ไหนแต่สุขภาพไม่ดีก็ซื้อไม่ได้ ไม่มีใครรับความเสี่ยงให้ เงินเก็บที่หามาได้ค่อนชีวิตก็มาจ่ายเป็นค่ารักษาตัวอยู่ดี ส่วนประกันชีวิตที่คุ้มครองตายใช้ในกรณีที่เราเป็นเสาหลักของบ้าน ถ้าเราตายครอบครัวเดือดร้อนแน่ โดยเฉพาะคนที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด ขับรถไกลๆ อดหลับอดนอน ควรมีไว้อย่างยิ่งครับ
4. กองทุน Thai ESG แบบความเสี่ยงต่ำ
ในปี 2567 นั้น สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงถึง 300,000 บาท และไม่นับโควต้ารวมกับกองทุนอื่น ๆ ด้วย และถือแค่ 5 ปี (แบบวันชนวัน) ก็สามารถขายได้แล้ว ถ้าท่านไม่ชอบความเสี่ยง ก็สามารถลงทุนในกอง Thai ESG ที่ลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลก็ได้ ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2.5 - 3% ต่อปี นอกจากนี้ หากท่านมีฐานภาษี 20% การที่ได้ลดหย่อนภาษีแล้วประหยัดเงินภาษีที่ต้องจ่าย ต่อให้กองทุนไม่ได้กำไรเลย ก็เสมือนได้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 4.5% แล้ว แต่ถ้าได้ผลตอบแทนจากกองทุนอีก 2.5 - 3% ก็รวมแล้วเท่ากับ 6 - 6.5% ต่อปีเลยทีเดียว
5. ประกันสะสมทรัพย์ระยะสั้น เช่น 10/1 , 10/3
(เอาไว้เติมส่วนลดหย่อนให้ครบแสน ถ้ามี 3 ข้อแรกยังไม่ครบ ให้ไปลงให้ครบก่อน)
ถ้าใครจะต้องไปเรียนต่อในอีก 2-3 ปี แล้วฐานภาษีปัจจุบันสูง เช่น 20% ขึ้นไป ก็ควรซื้อประกันออมทรัพย์ลดหย่อนแบบที่ส่งน้อยๆปี จะได้ไม่เป็นภาระตอนไปเรียนต่อ อย่าไปหลงคารมตัวแทนที่มาขายแผนส่งยาวๆโดยเอาผลตอบแทนมาล่อ แต่เราไม่สามารถส่งได้ตลอดรอดฝั่ง (เขาเชียร์เพราะเขาได้ค่าคอมเยอะ) เพราะการทำประกันคือการปิดความเสี่ยง ไม่ได้เน้นผลตอบแทนสูงๆอยู่แล้วครับ อยากได้ผลตอบแทนเยอะควรไปลงหุ้นปันผลจะดีกว่า
6. กองทุน ssf
อันนี้ก็เหมาะกับการส่งระยะสั้น และเป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ แต่อย่าลืมว่าเงินจะไปจม10ปีนะครับ ขายก็ไม่ได้ ตลาดขาลงก็สับกองได้อย่างเดียว (อาจจะเสียค่าธรรมเนียมอีก) ที่แนะนำ e-class เพราะค่าธรรมเนียมถูกที่สุดแล้วครับ และผลงานจะล้อไปกับดัชนี (Passive fund ในระยะยาวชนะกอง Active เกือบทุกกอง) หากไม่ได้เน้นจะลงกองทุนต่างประเทศอยู่แล้ว แนะนำไปลงทุนในกองทุน Thai ESG จะดีกว่า อีกทั้งกองทุน ssf นั้นสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนในปี 2567 เป็นปีสุดท้าย
อายุไม่ถึง 45 ไม่แนะนำ RMF เลยครับ เพราะกว่าจะถอนได้คืออายุ 55 และยังต้องลงปีเว้นปีอีกด้วยแถมถ้าตลาดขาลง ทำไรไม่ได้นอกจากสับกองภายใต้ บลจ.เดียวกันและก็ต้องเป็นกอง RMF ด้วยกันเท่านั้น แถมเสียค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก
7. ประกันบำนาญ
ถ้าเติมแสนแรกเต็มแล้ว ยังเสียภาษีแพงและมีเงินเย็นเหลือมากพอ ค่อยลงตัวนี้ครับ มีแผนแบบที่ส่งเบี้ยระยะสั้นเช่น 1-5 ปี ก็มีครับ ไม่จำเป็นต้องส่งยาวถึงอายุ 60 แต่อย่างใด ลงได้สูงสุดถึง 15% ของรายได้สุทธิต่อปี (ไม่เกิน 200,000) หรือใครเป็นข้าราชการ ก็เพิ่ม % ส่ง กบข. ได้ครับ ถ้าไม่อยากจัดพอร์ตเอง เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงเพราะได้ผลตอบแทนคงที่แน่นอนตามสัญญา
8. กองทุน RMF
เงื่อนไขค่อนข้างเยอะ คือต้องซื้ออย่างน้อยปีเว้นปี ต้องถืออย่างน้อย 5 ปี และกว่าจะถอนคืนได้คือที่อายุ 55 ถ้าเงินเหลือจริงๆ และฐานภาษีสูงจริงๆ และลง SSF เต็มแล้ว ถึงจะแนะนำให้ซื้อครับ ถ้าฐานภาษีไม่สูงมากและต้องเลือกระหว่าง SSF กับ RMF ให้พิจารณาตามอายุดังที่กล่าวไปข้างต้น
ส่วนในกรณีชื้อลดหย่อนหลังปี 2567 และอยากลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วย ก็คงเป็นทางเดียวที่จะซื้อได้
อย่างไรก็ตาม การทำประกันจุดประสงค์หลักคือการถ่ายโอนความเสี่ยงด้วยเงินส่วนน้อยเพื่อปกป้องเงินก้อนใหญ่ ส่วนการลดหย่อนภาษีเป็นผลพลอยได้เฉย ๆ ครับ
ใครสนใจให้ผมวางแผนภาษี หรือสนใจประกันลดหย่อนภาษีสามารถทักมาได้เลยครับ ยินดีให้คำปรึกษาครับ
Line ID : nuengburut