รวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการทำประกันสุขภาพ
ข้อยกเว้นประกันสุขภาพ 21 ข้อ >> คลิกที่นี่ <<
ระยะรอคอยหลังทำประกัน คืออะไร >> คลิกที่นี่ <<
การแฟกซ์เคลม (ไม่ต้องสำรองจ่าย) >> คลิกที่นี่ <<
เงื่อนไข Copayment มีอะไรบ้าง >> คลิกที่นี่ <<
ทำไมซื้อประกันสุขภาพจึงควรซื้อกับตัวแทน มากกว่าการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์
1. ได้คำแนะนำเฉพาะตัวและตรงจุด
ตัวแทนสามารถวิเคราะห์ ความต้องการเฉพาะบุคคล เช่น โรคประจำตัว งบประมาณ อายุ อาชีพ หรือประวัติสุขภาพ เพื่อเลือกแบบประกันที่เหมาะสมที่สุด
บางคนอาจไม่รู้ว่าตนเอง ต้องการ OPD หรือ IPD แบบไหน หรือควรซื้อแบบมี Deductible หรือไม่ ตัวแทนสามารถช่วยแนะนำได้ตรงจุด
2. ช่วยอ่านและแปล “ภาษาประกัน” ให้เข้าใจง่าย
เอกสารประกันเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค เช่น Pre-existing, Deductible, Co-pay, Waiting Period ซึ่งตัวแทนช่วยแปลให้เข้าใจง่ายและป้องกันการ “เข้าใจผิด” ที่อาจเกิดปัญหาตอนเคลม
3. ช่วยติดตามเคลม – ไม่ต้องวิ่งเอง
ตัวแทนมืออาชีพจะช่วย ประสานงานกับบริษัทประกัน ในการเคลม เช่น เอกสารขาด เคลมช้า เคลมไม่ผ่าน ตัวแทนช่วยตามเรื่องให้เร็วขึ้นและบรรเทาความยุ่งยาก
4. ดูแลระยะยาว ไม่ใช่แค่ตอนซื้อ
หากมีการต่ออายุ ปรับกรมธรรม์ หรือเปลี่ยนแปลงแผนในอนาคต ตัวแทนจะช่วยให้คำแนะนำ และอัปเดตสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ รวมถึง แจ้งเตือนวันครบกำหนดต่ออายุ
5. สร้างความมั่นใจในภาวะวิกฤต
เมื่อต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน หรือเกิดอุบัติเหตุ ตัวแทนที่ดูแลอยู่จะช่วย แนะนำขั้นตอนการติดต่อ รพ. การยื่นบัตร หรือแจ้งเคลมฉุกเฉิน ได้อย่างทันท่วงที
ข้อดีเพียงข้อเดียวที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์คืออาจจะได้ส่วนลด 5-10% เฉพาะปีแรก (เพราะไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทน) แต่เบี้ยปีต่ออายุก็เป็นราคาเต็มเหมือนช่องทางตัวแทน แถมต้องดูแลตัวเองไม่มีตัวแทนดูแล ตอนป่วยนอนแอดมิดแผลยังไม่ได้ตัดไหมก็ต้องเดินเรื่องเคลมเอง รู้แบบนี้ยังอยากซื้อช่องทางออนไลน์อยู่ไหมครับ
ทำไมประกันสุขภาพเบี้ยถึงเพิ่มตามอายุ แล้วประกันสุขภาพแบบเบี้ยคงที่ มีจริงไหม
ยิ่งอายุมาก ความเสี่ยงในการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดัน มะเร็ง) จะ สูงขึ้น
บริษัทประกันจึงต้อง คิดเบี้ยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ไม่ใช่แค่ผู้เอาประกันแก่ขึ้น แต่ ต้นทุนของโรงพยาบาลก็เพิ่มขึ้นทุกปี เช่น ค่ายา ค่าห้อง ICU ค่าแพทย์เฉพาะทาง อันเนื่องจากเงินเฟ้อทางการแพทย์ ที่อาจสูงถึง 15% ต่อปี
เบี้ยประกันต้องถูกปรับเพื่อให้บริษัทสามารถ จ่ายเคลมได้อย่างยั่งยืน
เบี้ยประกันสุขภาพแบบ "คงที่" ที่ตัวแทนหลายคนชอบพูด จริง ๆ คือแผนแบบควบการลงทุนยูนิตลิงก์ (UDR) ที่เราจ่ายเบี้ยประกันคงที่ในทุก ๆ ปี แต่แบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งมีโอกาสขาดทุนได้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการประกันภัยที่จะต้องหักเงินจากกองทุนมาจ่ายนั้นเพิ่มขึ้นตามอายุ (ตามความเสี่ยงและเงินเฟ้อ) ไม่ได้คงที่แต่อย่างใด วันใดที่เงินในกองทุนนั้นใกล้หมด ท่านก็ต้องหาเงินมาเติมพอร์ตกองทุนอยู่ดี มิเช่นนั้นกรมธรรม์ก็จะสิ้นผลบังคับ ไม่ได้การันตีผลตอบแทนแต่อย่างใด
แต่บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตมีแผนควบการลงุทนที่เรียกว่า ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (ยูแอลพลัส) ที่การันตีผลตอบแทนปีแรก 4% และปีถัด ๆ ไป 1% (เฉลี่ยผลตอบแทนย้อนหลังตามจริงประมาณ 3.5%) เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง
การปกปิดประวัติสุขภาพก่อนทำประกัน ส่งผลเสียอย่างไร
การปกปิดประวัติ แถลงเท็จในใบคำขอเอาประกัน ส่งผลอย่างไรบ้าง
1. อายุกรมธรรม์น้อยกว่า 2 ปี + เคลมแล้ว บ.สืบได้ว่าปกปิดประวัติที่เป็นสาระสำคัญ
—> การปกปิดประวัติ สัญญาจะตกเป็น “โมฆียะ” คือมีผลสมบูรณ์ แต่บ.จะต้องใช้สิทธิ์บอกล้างภายใน 2 ปีตั้งแต่เริ่มทำสัญญา “และ” ภายใน 30 วันนับตั้งแต่ทราบข้อมูลที่จะบอกล้างได้ครบถ้วน เมื่อบอกล้างแล้ว เท่ากับว่าสัญญาจะเป็น “โมฆะ” คือเหมือนไม่ได้ทำตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น บ.จะคืนเบี้ย หักด้วยค่าเคลมย้อนหลังและค่าใช้จ่ายต่างๆ คืนให้กับผู้เอาประกันภัย กรณีค่าเคลมมากกว่าเบี้ยที่ส่ง ผู้เอาประกันต้องชำระคืน พร้อมดอกเบี้ยย้อนหลังด้วย (น่ากลัวมาก) ส่วนตัวแทนก็จะต้องคืนค่าคอม+ผลประโยชน์ต่างๆ ให้ บ.ด้วยเช่นกัน
2. อายุกรมธรรม์เกิน 2 ปี + สืบได้ว่าปกปิดประวัติก่อนทำประกัน โดยประวัตินั้นยังไม่เกิน 5 ปีก่อนทำประกัน หรือ อาจจะเกิน 5 ปีก่อนทำประกันไปแล้ว แต่ดันมีโรค/อาการเดียวกันกำเริบหลังทำประกัน ไม่เกิน 3 ปี (ไม่เข้าเกณฑ์ clean หน้า 5 หลัง 3 )
—> อันนี้บ.จะบอกล้างสัญญาไม่ได้ เพราะเกิน2ปีแล้ว แต่ไม่จ่ายเคลมเรื่องนั้น และเพิ่มสลักหลังเว้นโรคนั้น แต่ยังเคลมโรคอื่น ๆได้อยู่ ถ้าโรคนั้นเป็นโรคร้ายแรงที่ บ.จะไม่รับทำตั้งแต่แรก บ.อาจไม่ต่อสัญญาในปีถัดไปได้ ตามเงื่อนไขของ New health standard
—> เกณฑ์ หน้า 5 หลัง 3 clean คือ โรคเรื้อรังหรืออาการป่วยที่ไม่ปรากฏอาการ ไม่ได้รับการตรวจโดยแพทย์มาในช่วง 5 ปีก่อนทำประกัน “และ” 3 ปีหลังทำประกัน บ.จะยังให้ความคุ้มครองได้แม้จะปกปิดโรค แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิ์ไม่ต่อสัญญาในปีถัดไปได้อยู่นะครับ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป คิดว่าประวัติคลีนในช่วง 8 ปีแล้วจะรอด
3. อายุกรมธรรม์เกิน 3 ปี + สืบได้ว่าปกปิดประวัติที่เกิน 5 ปีก่อนทำประกัน และไม่เคยตรวจหรือมีอาการใดๆ ในช่วง 3 ปีหลังทำประกัน รวม 8 ปี (เข้าเกณฑ์ หน้า5 หลัง3)
—> บ.จะไม่บอกล้างสัญญา และจะต้องคุ้มครองโรคนั้นด้วยโดยไม่โดนสลักหลังเว้นโรค แต่ถ้าโรคนั้นเป็นโรคร้ายแรงที่ บ.จะไม่รับทำตั้งแต่แรก หรือเป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้และเสี่ยงสูง (เช่นโรคมะเร็ง) บ.ก็ยังมีสิทธิ์ไม่ต่อสัญญาในปีถัดไปได้
—> แผนโรคร้ายแรงบางแผนจะจัดเป็นประกันโรคร้ายแรง (CI) และไม่ได้นำหลักการของ new health standard ว่าด้วยเงื่อนไขการไม่ต่อสัญญามาใช้ (ลองอ่านในกรมธรรม์หัวข้อ renewal) ถ้าเขาเขียนว่า guarantee renewal เท่ากับว่า บ.ต้องการันตีต่อสัญญา แต่ก็มีโอกาสไม่จ่ายเคลมได้อยู่นะครับ หากเป็นโรคที่สืบเนื่องจากโรคที่เคยเป็นมาก่อน (ไม่ยกเลิกแต่ไม่จ่าย)
4. กรณีโรค หรืออาการ ที่เขาไม่ได้ถามในใบคำขอ เช่น เคยตรวจ… เมื่อ 10กว่าปีก่อน เคยตรวจ... ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขโรคใดๆที่ให้ติ๊ก และไม่ได้อยู่ในช่วง 5 ปี (ที่จะต้องแถลงว่าตรวจในช่อง ภายในระยะเวลา5ปีที่ผ่านมา ท่านเคยบาดเจ็บ/ป่วย…)
—> เวลาตอบใบคำขอ ให้ตอบตามที่เขาถามเท่านั้น อะไรที่เขาไม่ได้ถามไม่ต้องตอบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบุประวัติแบบเจาะจงว่าญาติสายตรงคนไหนป่วยเป็นโรคอะไรนั้นห้ามระบุ เพราะผิด PDPA ให้ระบุเฉพาะชื่อโรคตามที่เขาถามเท่านั้น) เพราะต่อให้เวลาเขาสืบประวัติเจอ เขาจะมาอ้างว่าเราปกปิดไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ถามเอง แต่โดยส่วนใหญ่คำถามในใบคำขอจะค่อนข้างครอบคลุมโรค/ภาวะ/อาการที่เป็นสาระสำคัญแล้ว
5. กรณีที่ในใบคำขอแถลงอาการว่า ไม่พบ/ไม่เคย (เพราะในบางครั้งผู้เอาประกันก็ไม่ทราบหรอก ว่าแพทย์เขียนอะไรใน opd card บ้าง) แต่มีการแนบประวัติการรักษาเข้าไปด้วย (เจอว่ามีโรค…) และ บ.ไม่ได้เพิ่มสลักข้อยกเว้น เท่ากับว่า บ.รับทราบแล้วและไม่ยกเว้นเอง โดยจะถือว่าประวัติที่แนบเข้าไปด้วยเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณารับประกัน
—> หาก บ.ไม่ออกเงื่อนไขยกเว้นโรค ภายใน 1 เดือนหลังจากที่มีการส่งประวัติเข้าไป บ.จะต้องคุ้มครองโรคนั้น 100% และไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกเลิก/ไม่ต่ออายุสัญญา ได้ เพราะถือว่าบริษัททราบแล้ว
6. กรณีลืมแถลงประวัติหลังกรมธรรม์อนุมัติไปแล้ว แล้วท่านคิดว่าประวัตินั้นเป็นสาระสำคัญ (ถ้าไม่ทราบ กรุณาปรึกษาตัวแทนก่อนว่าประวัตินั้นอาจเป็นสาระสำคัญหรือไม่) ให้ตัวแทนทำเรื่องแถลงประวัติเข้าไป บ.จะพิจารณาย้อนหลังให้เสมือนการยื่น ณ วันที่สมัครประกัน โดยอาจรับเงื่อนไขเดิม (รับปกติ), รับโดยออกสลักหลังยกเว้นโรค, รับโดยให้ไปชำระเบี้ยเพิ่ม หรืออาจบอกล้างสัญญากรณีที่โรคนั้นเป็นโรคที่ไม่สามารถรับประกันได้ตั้งแต่แรก
โรคใดบ้างที่บริษัทจะไม่รับทำประกันสุขภาพ
ขอแบ่งเป็นกลุ่มโรคดังนี้ครับ
1.1 โรคที่ประกันสุขภาพส่วนใหญ่มักไม่รับทำเลย และมักจะปฏิเสธการรับประกัน เช่น
โรคมะเร็ง - เสี่ยงค่ารักษาสูงมาก โดยเฉพาะระยะลุกลาม เว้นแต่จะหายขาดแล้วเกิน 5 ปีขึ้นไป
เอดส์ (HIV/AIDS) - มีภาวะแทรกซ้อนสูง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ไตวายเรื้อรัง (ต้องล้างไต) - ต้องฟอกไตต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายสูง และยังส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
โรคตับแข็ง - เสี่ยงตับวาย เลือดออกง่าย
หัวใจล้มเหลว / หัวใจขาดเลือดรุนแรง - มีโอกาสเกิดภาวะฉุกเฉินซ้ำ
โรคหลอดเลือดสมองตีบ/แตก (Stroke) - พิการซ้ำ เสี่ยงซ้ำสูง
โรคปอดระยะรุนแรง (COPD stage IV) - ต้องใช้ออกซิเจนตลอดเวลา
SLE - ส่งผลต่อหลายระบบ เช่น ไตวาย
ALS / พาร์กินสันระยะรุนแรง - ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพิง
ความดันในปอดสูง (Pulmonary HT) - หายยาก ค่ารักษาแพง
1.2 โรคที่ประกันสุขภาพมักไม่รับทำ แต่ถ้ารักษาให้หายขาดแล้วมีโอกาสรับประกันได้ปกติ หรือ เว้นโรค (แล้วแต่กรณี)
โรคซึมเศร้า/ไบโพล่าร์/จิตเภท ที่ยังรักษาอยู่ หรือมีอาการอยู่ - มีโอกาสฆ่าตัวตาย/ไม่สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ เว้นแต่หายขาดแล้วเกิน 5 ปี
โรคเครียด/แพนิค/วิตกกังวล - ต้องหยุดยาแล้ว > 1 ปีและไม่มีอาการกำเริบ
ไตวายเฉียบพลัน/ประวัติหัวใจหยุดเต้น - ต้องหายเป็นปกติและไม่มีภาวะแทรกซ้อน > 6 เดือนขึ้นไป
วัณโรค - ต้องหายเป็นปกติและไม่มีภาวะแทรกซ้อน > 6 เดือนขึ้นไป
2.1 โรคที่มีผลต่อระบบโดยรวม (Systemic) และอาจรับแบบเพิ่มเบี้ยแต่รับคุ้มครอง หรือ รับแบบยกเว้นโรคและภาวะแทรกซ้อน เช่น
เบาหวาน - ส่วนใหญ่จะไม่รับสุขภาพเลย ยกเว้น Elite Health Plus สามารถรับได้แบบเพิ่มเบี้ย หรือถ้าน้ำตาลสูงอย่างเดียวสามารถรับแบบเว้นภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่วนประกันโรคร้ายแรงมะเร็งอาจจะสามารถทำได้ (รับปกติ)
ความดันโลหิตสูง - ไม่คุ้มครอง hemorrhagic stroke หรือหัวใจล้มเหลวจากความดันสูง หรือ
ไขมันในเลือดสูง - ไม่คุ้มครองโรคหัวใจวายเฉียบพลัน MI (heart attack) หรือโรคเส้นเลือดสมองตีบ
ภาวะอ้วน - ส่วนใหญ่รับแบบเพิ่มเบี้ย
2.2 โรคที่รับแบบเว้นโรคเท่านั้น (รวมถึงภาวะแทรกซ้อน) เช่น
โรคไทรอยด์ - ไม่คุ้มครองถ้ามีภาวะแทรกซ้อนจากโรคนั้น เช่น คอพอกเป็นพิษ หรือ ก้อนในต่อมไทรอยด์
โรคภูมิแพ้ / หอบหืด - อาจไม่คุ้มครองบางการรักษาหากเป็นแบบเรื้อรัง
ซิสต์/ถุงน้ำ/ก้อนเนื้อ/ติ่งเนื้อ ไม่ว่าจะเป็น เต้านม, รังไข่, ไทรอยด์, มดลูก - รับแบบยกเว้นโรค
นิ่วในถุงน้ำดี/นิ่วในไต - รับแบบยกเว้นโรค
หากโรคเหล่านี้มีอาการมาก่อนทำประกัน > บริษัทจะระบุ exclusion เฉพาะจุด
(แต่บางกรณี หากรักษาหายและไม่มีอาการมานาน > อาจพิจารณาคุ้มครองปกติได้)
โดยต้องมี "ระยะปลอดโรค" (Disease-free period) อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไปเช่น
โรคกระเพาะ/กรดไหลย้อน/ริดสีดวง - หากไม่เป็นเรื้อรัง อาจพิจารณาได้
โรคภูมิแพ้อากาศที่นาน ๆ เป็นครั้งและไม่ต้องรับยาต่อเนื่อง
โรคบ้านหมุน/ปวดศีรษะจากความเครียด/ไมเกรน/ปวดคอบ่าไหล่ออฟฟิศซินโดรม ที่หายแล้วและไม่มีอาการกำเริบ
โรคที่เป็นแล้วหายสนิท ไม่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น
โรคไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่/COVID-19 (ที่ไม่ลงปอด)/มีดบาด/อุบัติเหตุหมาแมวกัดที่แผลหายดี ฯลฯ
แม้บริษัทการันตีต่อสัญญาสุขภาพปีถัดไป แล้วกรณีใดบ้างที่บริษัทจะไม่ต่อสัญญาสุขภาพ
แม้สัญญาสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ บริษัทจะต้อง "การันตีต่อสัญญา" ในปีถัดไป แม้ผู้เอาประกันจะเคลมเยอะแค่ไหนก็ตาม แต่บริษัทสามารถปฏิเสธการต่อสัญญาได้ใน 3 กรณีคือ
ผู้เอาประกัน "ปกปิดประวัติ" หรือไม่แถลงข้อเท็จจริงในใบคำขอเอาประกัน ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้บริษัทบอกปัดไม่รับทำสัญญา หรือ เพิ่มเบี้ย หรือ รับแบบมีเงื่อนไข --> นั่นหมายความว่าในใบคำขอเอาประกัน โรคที่ปรากฏในใบคำขอเอาประกันที่เป็นมานานแค่ไหนก็ตาม แม้จะเลย 5 ปีมาแล้วก็ต้องแถลง เพื่อป้องกันการเข้าข่ายปกปิดประวัติในข้อนี้
ผู้เอาประกัน ทำการเคลม โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ --> แกล้งป่วยเพื่อเคลมสินไหม โดยไม่ได้ป่วยจริง
ผู้เอาประกัน เคลมชดเชยรายวัน รวมทุกบริษัท เกินกว่ารายได้ที่แท้จริง (ยึดรายได้ ณ วันที่ทำสัญญาเอาประกัน)
เหตุใดตัวแทนจึงไม่สามารถการันตีได้ว่าไป รพ. แล้วจะไม่โดนสำรองจ่ายแน่ ๆ
ในเคสที่อายุกรมธรรม์ < 90 วัน แม้จะพ้นระยะรอคอย 30 วันแล้ว (ในกลุ่มที่ไม่ใช่โรคระยะก่อตัวนาน) แต่ก็ยังมีโอกาสสำรองจ่ายได้เพราะบริษัทต้องตรวจสอบ/สืบประวัติก่อนว่าเป็นมาก่อนการทำประกันหรือไม่
ในเคสที่อายุกรมธรรม์น้อย ๆ เช่น < 2-3 ปี แล้วป่วยด้วยโรคเรื้อรัง/ร้ายแรง หรือเจอประวัติอันควรสงสัยว่าจะเป็นมาก่อนการทำประกัน (เช่น แพทย์ลงประวัติว่า ผู้ป่วยให้ประวัติเคยเป็นโรค... เมื่อ 5 ปีก่อน 10 ปีก่อน.. History of ... 10 yr) และสิ่งนั้นไม่ได้มีการแถลงให้บริษัทรับทราบ บริษัทก็อาจจะให้สำรองจ่ายเพื่อสืบประวัติก่อนได้
การสืบประวัตินั้นบริษัทมักจะสืบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และใช้เวลาสืบไม่เกิน 90 วัน หากเกินจากนี้บริษัทจะต้องเสียค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย โดยมักจะสืบจาก รพ. ในละแวกที่อยู่ปัจจุบัน (ส่งเอกสาร), ที่อยู่ที่ทำงาน, ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน, รพ.ที่เคยใช้สิทธิ์เคลมหรือมีแถลงในใบคำขอ หรือมีการอ้างถึงในประวัติการรักษา
หากไม่ต้องการโดนสำรองจ่ายในเคสที่อายุกรมธรรม์น้อย ๆ และต้องทำหัตถการ/ผ่าตัดที่ค่าใช้จ่ายสูง สามารถใช้สิทธิ์พรีเคลม (Pre-authorization) โดยแจ้งกับทาง รพ. หรือแจ้งตัวแทนให้ประสานงานกับ รพ. เพื่อทำพรีเคลม หากอนุมัติแล้วจึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย
โดนออกเงื่อนไขยกเว้นโรค/เพิ่มเบี้ยในข้อเสนอใหม่ (COF) ทำอย่างไรดี
แนะนำติดต่อตัวแทนเพื่อยื่นเรื่องทบทวนผลพิจารณา โดยอาจมีการต้องตรวจสุขภาพ/ยื่นผล Lab/ผลภาพทางรังสีเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าโรคนั้นหายแล้ว หรือ อาการดีขึ้น/คงที่
หากตอบรับข้อเสนอแล้ว ข้อยกเว้นนั้น/การเพิ่มเบี้ยนั้น จะอยู่ในสลักหลังท้ายกรมธรรม์ เป็นเงื่อนไขที่ผู้เอาประกันจะต้องจำให้ดีว่าโดนยกเว้นโรคอะไรได้บ้าง
การยกเว้นโรค จะยกเว้นการรักษาโรคนั้น ๆ รวมถึงภาวะสืบเนื่อง เช่น หากโดนยกเว้นการรักษาโรคความดันโลหิตสูง จะรวมไปถึงการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตสูง เช่น โรคเส้นเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) โรคหัวใจล้มเหลวจากความดันโลหิตสูง (Hypertensive Heart disease) โรคเส้นเลือดแดงใหญ่ฉีก (Aortic dissection) ไตวายเรื้อรังจากความดันโลหิตสูง แต่จะไม่รวมถึงไตวายเฉียบพลันจากการติดเชื้อ แม้จะไตวายเหมือนกัน หรือเลือดออกในสมองจากอุบัติเหตุแล้วต้องให้ยาลดความดันเพื่อลดความดันในกะโหลกศีรษะก็ไม่ได้โดนเว้นโรค เพราะสาเหตุมาจากคนละอย่างกัน
หากมีการตรวจสุขภาพหรือติดตามอาการและโรคนั้นหายขาดแล้ว / ไม่ต้องรักษา / แพทย์ไม่นัดแล้ว สามารถยื่นประวัติเข้ามาให้บริษัทพิจารณาเพื่อถอดข้อยกเว้นหรือลดการเพิ่มเบี้ยดังกล่าว แต่ขึ้นกับโรคและความรุนแรง ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะถอดได้ทุกโรคหรือทุกเงื่อนไข
การขอลดการเพิ่มเบี้ยของสัญญาหลักหลังกรมธรรม์อนุมัติแล้วไม่สามารถขอลดได้ แต่การขอลดการเพิ่มเบี้ยของสัญญาเพิ่มเติม สามารถทำได้
ชำระเบี้ยรายปี หรือ รายเดือน/ราย 3 เดือนดีกว่ากัน ผ่อนชำระด้วยบัตรเครดิตได้ไหม
เบี้ยแบบชำระรายปี จะถูกกว่าแบบรายเดือน/ราย3เดือน/ราย6เดือนอยู่ประมาณ 8% และการจะรูดบัตรเครดิตเพื่อผ่อน 0% ตามโปรโมชั่นนั้นจะต้องชำระเบี้ยแบบรายปีเท่านั้น ดังนั้นจึงแนะนำชำระเบี้ยแบบรายปี และเพื่อไม่ให้ลืมชำระเบี้ยด้วยหากไม่ได้สมัครตัดบัญชีอัตโนมัติ เพราะถ้าหากลืมจ่ายเบี้ยเกิน 31 วัน กรมธรรม์จะขาดผลบังคับและอาจทำให้แฟกซ์เคลมไม่ได้