ดูแผนประกันสุขภาพต่าง ๆ >> คลิกที่นี่ <<
ท่านควรเลือกประกันสุขภาพ/โรคร้ายแรง/อุบัติเหตุอย่างไร
1. ดูสิทธิ์การรักษาหลักปัจจุบันที่มี ว่าพอใจหรือไม่
หากท่านงบน้อย แล้วต้องเลือกเพียงอย่างเดียวระหว่างประกันสุขภาพ กับ ประกันโรคร้ายแรงแบบเจอจ่ายเงินก้อน ขอแนะนำให้ท่านเลือกประกันโรคร้ายแรงแบบเจอจ่ายเงินก้อน เนื่องจากค่ารักษาท่านยังพอใช้สิทธิ์ของรัฐได้ แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรงแล้วอาจจะทำงานไม่ได้ ขาดรายได้ เดือดร้อนครอบครัวแน่ ไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะ ค่าเดินทาง ค่าจ้างคนมาเฝ้าไข้ ฯลฯ ดังนั้นเงินก้อนจึงสำคัญมาก
หากท่านไม่พอใจกับสิทธิ์บัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิ์ประกันสังคม และรับไม่ได้หากต้องจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนต่าง หรือถูกจำกัดทางเลือกในการรักษา หรือไม่สามารถอดทนรอคิวนาน ๆ ได้ และไม่อยากไปขอใบส่งตัวทุกครั้ง ท่านควรมีประกันสุขภาพที่เหมาจ่ายค่ารักษา
หากท่านใช้สิทธิ์ข้าราชการ/ประกันสังคมเป็นหลัก แต่ยังกังวลค่าใช้จ่ายส่วนต่างการรักษาบางอย่างที่เบิกไม่ได้ ค่าห้องพิเศษ ท่านควรมีประกันสุขภาพแบบมีความรับผิดส่วนแรก แล้วใช้ร่วมกับสิทธิ์ของท่าน (โดยให้สิทธิ์หลัก Cover ความรับผิดส่วนแรกให้) เบี้ยจะถูกกว่าแบบที่ไม่มีความรับผิดส่วนแรกอยู่พอสมควร เพียงแต่ว่าถ้าท่านไป รพ.เอกชนที่ไม่ใช่สิทธิ์ จะต้องจ่ายส่วนแรกเอง
หากท่านมีประกันกลุ่มของบริษัทอยู่แล้ว แต่ยังกังวลว่าหากต้องนอน รพ. นาน ๆ หรือต้องผ่าตัด แล้วค่าใช้จ่ายจะบานปลาย ท่านควรมีประกันสุขภาพแบบมีความรับผิดส่วนแรก แล้วใช้ร่วมกับประกันกลุ่มของท่าน จะได้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยให้สิทธิ์ซ้ำซ้อนกัน หากเป็นแผน D Health Plus จะมีสิทธิ์ Convertible เมื่อท่านเกษียณอายุ (55-65 ปี) ก็สามารถปรับลดความรับผิดส่วนแรกลงได้ โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ หรือตอบคำถามสุขภาพใหม่
หากท่านไม่มีสิทธิ์อะไรเลยนอกจากบัตรทอง 30 บาท และไม่ต้องการใช้สิทธิ์ดังกล่าว ขอแนะนำให้ท่านซื้อประกันสุขภาพแบบไม่มีความรับผิดส่วนแรก
2. ดูงบประมาณที่สามารถจ่ายไหวจนกระทั่งอายุมาก ๆ
หากงบประมาณของท่านมีไม่มาก แนะนำให้เลือกแบบเหมาจ่ายหลักล้านที่มีความรับผิดส่วนแรกสูง ๆ มากกว่าแบบที่ไม่มีความรับผิดส่วนแรกแต่มีวงเงินเหมาจ่ายน้อย เพราะหากท่านเข้า รพ.แล้วต้องเสียเงินเองส่วนแรกหลักไม่กี่หมื่นบาทก็คงไม่ได้ทำให้ท่านเดือดร้อนมากนัก แต่หากท่านเข้า รพ.แล้วต้องเสียเงินหลักล้านแต่กลับมีวงเงินเหมาจ่ายไม่พอ จะเกิดปัญหาได้ ต้องส่งตัวรักษาต่อตามสิทธิ์ ซึ่งก็ไม่ได้ง่ายนักเพราะเตียงใน รพ.รัฐ มักมีจำกัด หรือถ้ารักษาต่อที่ รพ.เอกชน แล้วไม่มีเงินสดสำรองมากพอ ก็อาจทำให้เกิดหนี้สินได้
หากท่านต้องการนอนห้องพิเศษ รพ.รัฐ เป็นหลัก หรือนอนรพ. ตามสิทธิ์ประกันสังคมแต่อยากอัพเกรดห้อง ทำแผนที่มีค่าห้อง 2-4 พันบาท ก็เพียงพอแล้ว และทำแบบที่มีความรับผิดส่วนแรกเพื่อใช้ร่วมกับสิทธิ์หลักของท่าน (Extra Care Plus)
หากท่านจะนอน รพ.เอกชนระดับ Top Tier ท่านควรเลือกแผนที่มีค่าห้องเหมาจ่ายห้องเดี่ยวมาตรฐาน (D Health Plus และ Elite Health Plus) เพราะไม่ว่าในอนาคตค่าห้องเริ่มต้นจะปรับเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อแค่ไหน ก็เหมาจ่ายทั้งสิ้น แผนที่มีค่าห้อง 3,000 บาทนั้นไม่เพียงพอแน่นอน แม้ตัวแทนจะขอส่วนลดกับทาง รพ. ให้ก็ไม่สามารถการันตีได้ตลอดไปว่า จะไม่เจอส่วนต่างค่าห้องในอนาคตสำหรับราคาค่าห้องหลักหมื่น โดยเฉพาะแผนที่มีค่าห้องเพียง 3,000 บาท
หากท่านอยู่ต่างจังหวัด กรุณาดูค่าห้องใน รพ. ในจังหวัดของท่านว่าค่าห้องประมาณเท่าใด หาก รพ.เอกชนราคาค่าห้องไม่เกิน 4,000 ก็ไม่จำเป็นต้องทำแผนที่เหมาจ่ายห้องเดี่ยวมาตรฐาน ทำแผนที่คุ้มครองค่าห้อง 4,000 บาท (เหมาจ่าย Extra)
4. ดูว่าท่านมีความจำเป็นต้องใช้วงเงิน OPD (ผู้ป่วยนอก) สำหรับโรคทั่วไปหรือไม่
แผนประกันสุขภาพเหมาจ่ายทั่วไป มักไม่ครอบคลุมการรักษาแบบผู้ป่วยนอกกรณีโรคทั่วไป เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ฯลฯ แต่จะเหมาจ่ายกรณีนอนรพ. หรือผ่าตัด หรือ OPD กรณีติดตามอาการก่อนและหลัง Admit เท่านั้น หากต้องการ OPD โรคทั่วไปด้วย จำเป็นต้องซื้อแผน OPD เพิ่มต่างหาก (มีทั้งแบบจำกัดวงเงินรายครั้ง และ เหมาจ่ายรายปี) หรือเลือกซื้อแผนเหมาจ่าย Elite health plus 40 ล้านขึ้นไป ซึ่งมีวงเงิน OPD แบบเหมาจ่ายรายปี 20,000 บาท
ถ้างบประมาณจำกัดมาก ๆ ไม่แนะนำให้ซื้อ OPD โรคทั่วไปด้วยประการทั้งปวง เพราะโรคทั่วไป เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย ไปพบแพทย์ครั้งละ 2-3 พันบาท (เอกชน) ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเดือดร้อนแต่อย่างใด หรือจะไปรพ.ตามสิทธิ์ รอนานหน่อยก็คงไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต ท่านน่าจะรับความเสี่ยงเองได้ ถ้าไม่ได้ป่วยบ่อยจริง ๆ ในรอบปีแทบไม่เคยเข้า รพ. เลย แนะนำเก็บเงินค่าเบี้ยประกัน OPD ไว้พบแพทย์เองดีกว่า
5. หากท่านมีโรคประจำตัว ให้ดูว่าท่านสามารถทำประกันสุขภาพแผนใดได้บ้าง
หากท่านไม่มีโรคประจำตัว ยินดีด้วย ท่านสามารถทำประกันสุขภาพแผนใดก็ได้โดยไม่มีข้อยกเว้นเรื่องโรคที่เป็นมาก่อนการทำประกัน
หากท่านมีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง และเป็นข้อห้ามของการทำประกัน เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง SLE/โรคหนังแข็ง/โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง, โรคมะเร็งที่ยังรักษาไม่หาย, โรคไตวายเรื้อรัง(ระยะ 3 ขึ้นไป), โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ (ต้องฉีดอินซูลิน/เบาหวานขึ้นตา/ไตวาย), ติดเชื้อ HIV, โรคซึมเศร้า/ไบโพล่าร์/จิตเภท ที่ยังต้องกินยา หรือมีประวัติฆ่าตัวตาย หรือใช้สารเสพติดอยู่, โรคหัวใจ, โรคเส้นเลือดสมองตีบ, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ฯลฯ พวกนี้ท่านไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้ แนะนำให้ท่านซื้อประกันแบบที่ไม่ต้อง